เขื่อนจะมีสองประตูด้านต้นน้ำและปลายน้ำ ตอนแรกเจ้าหน้าที่สูบน้ำเข้ามาระหว่างประตูเขื่อน จนมีระดับเท่ากับความสูงของน้ำเหนือเขื่อน จากนั้นประตูด้านบนจึงเปิดต้อนรับพวกเราพร้อมกับทุ่งผักตบที่ยาวหลายปีแสงมาเป็นประจักษ์พยาน (Bare Witness?) ในการเดินทางของพวกเราครั้งนี้ แต่ปัญหาคือพวกเราจะฝ่าทุกผักตบชวานี้ได้อย่างไร หันไปถามโยยน หัวหน้าทีมเรือจากดินแดนถิ่นกำเนิดผักตบว่าจะทำไงดี โยย่นจึงใบ้หวย...เอ้ย บอกใบ้ด้วยการหันไปที่น้องแก้ว (ฟันกระแต) ทุกคนจึงร้องอ๋อทันที แต่ถ้าจะให้แทะผักตบจนหมดอาจจะดูโหดร้ายไปซักนิด พวกเราจึงแก้ปัญหาด้วยการให้เรือใหญ่ลากเรือคายักและเรือยางพี่เลี้ยงฝ่าดงผักตบ ทว่า
“แบบนี้มันไม่ใช่อะครับ” พี่วินัยช่างภาพประจำกรีนพีซ ออกความเห็นแกมบังคับ “ภาพที่จะออกสู่สาธารณชนมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เราจะต้องแสดงถึงศักยภาพของคนและเรือยางในการเดินทางแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก พี่อยากได้ภาพพวกเราพายเรือลุยผักตบแล้วแบกเรือข้ามเขื่อนไป” พี่วินัยเล่นบทผู้กำกับ ก่อนกำกับให้ผมเป็นกำกับการจราจรในน้ำ ซึ่งก็คือการลงไปแหวกผักตบนั่นเอง งานเข้าอีกแล้ว!
รออีกซักพักกว่าน้ำจะได้ระดับที่เรือใหญ่ของเราวิ่งผ่านไปได้ พร้อมกับความระทึกว่าหลังคาเรือจะชนกับเพดานเขื่อนหรือไม่
ฝีพายวันนี้ประกอบด้วย ฟาน คู่กับพลาย (เจ้าหน้าที่รณรงค์ที่ซุ่มซ้อมจนไม่มีใครเคยเห็นอีกเช่นกัน) ส่วนอีกทีม ยังคงเป็นเดียวกับผึ้ง (ทีมคู่ฮันนีมูนจากสุราษฎร์) ที่พายทิ้งห่างคู่แรกแบบไม่เห็นใจช่างภาพ พวกเราได้ทักทายและแจกคู่มือ “คืนรอยยิ้มสู่สายน้ำ เจ้าพระยาปลอดมลพิษ” ให้กับชาวบ้านตลอดการเดินทางในวันนั้น ผมสังเกตว่าชาวบ้านหลายคนมักเดินขึ้นฝั่งเวลาที่พวกเราเข้าไปใกล้ อาจเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจึงรู้สึกอึดอัดเวลาที่พวกเราพายเรือผ่าน
ก่อนเที่ยงพี่สุรเชษฐ์ช่างภาพประจำกรีนพีซมากระซิบบอกผมว่า “พี่อยากได้ภาพเรือที่ถ่ายจากบนสะพาน ผมจึงวิทยุไปถามทีมเรือ Water Patrol ว่าข้างหน้ามีสะพานข้ามแม่น้ำหรือไม่ เมื่อได้รับการยืนยันพวกเราจึงบึ่งเรือยางพี่เลี้ยงนำหน้าไปก่อน ด้วยความที่มาจากเรือยาง และเพื่อความปลอดภัย (กลัวถูกรถชน) หรือเพื่อความขบขันของคนรอบข้าง (ตาม concept คืนรอยยิ้มสู่สายน้ำ) พวกเราจึงวิ่งเท้าเปล่าพร้อมสวมชูชีพวิ่งขึ้นสะพานด้วยท่าเปรตบนกะทะทองแดง (ก็มันร้อนนี่หน่า) ภาพช็อตนั้นแทบจะแลกมาด้วยกีบเท้าของพวกเราเลยทีเดียว
ช่วงบ่าย ภาพ (เจ้าหน้าที่ระดมทุนที่ทิ้งงานแบงค์มาทำงานเพื่ออุดมการณ์กับกรีนพีซ) กับผมลงมาพายแทนคู่ของพลายกับฟาน ภาพจัดว่าพายได้ไม่เลวทั้งๆ ที่ไม่ได้ซ้อมกับพวกเรามาก่อน
ตกบ่ายพวกเราพายถึงวัดหัวว่าว จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งตรงหลังวัดมีหาดเล็กๆ ให้พวกเราได้ลงไปผ่อนคลายอิริยาบถได้เป็นอย่างดี พวกเราอาบน้ำในแม่น้ำเช่นเดียวกับเมื่อวาน เดี่ยวกับผึ้งเล่น “กุ้งดีด” (กระโดดตีลังกากลับหลังโดยเหยียบไหล่เพื่อน) อย่างสนุกสนาน เมื่อตัวสะอาดแบบตุตุพวกเราก็แยกย้ายไปนอนให้ยุงหามเล่น ส่วนเพื่อนบางส่วนออกมาเฝ้าเวร ซึ่งเพิ่งเริ่มทำในคืนนี้
ช่วงค่ำๆ ชาวบ้านแถบนั้นเดินมาหากรีนพีซที่เรือ และร้องเรียนว่าโรงงานกระดาษใกล้ๆ ปล่อยน้ำเสียลงเจ้าพระยา
- ขวัญ
เขียนได้น่าติดตามอ่าน และซึ้งในคณะที่ได้ทำกิจกรรมนี้ เจ้าพระยาอยู่ห้อง ไอ ซี ยู มานานเกินควรแล้ว ตัวแสบคือโรงงาน รวมทั้งโรงแรมใหญ่ๆริมแม่น้ำด้วย คนขายปุ๋ยเคมีไม่รู้สึกอไรบ้างเลยหรือ อยุธยารควรณรงค์ตลอดไป ปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่น บ้านเราควรทำเองด้วย
RépondreSupprimer